พระธาตุศรีสองรักสร้างขึ้นเพื่อ เป็นสักขีพยานในการช่วยเหลือซึ่งกันและกันระหว่างกรุงศรีอยุธยา(สมัยพระมหาจักรพรรดิ) และกรุงศรีสัตนาคนหุต (ปัจจุบันคือ เวียงจันทร์สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว) กษัตริย์ทั้งสองพระองค์ทรงครองราชสมบัติ ตรงกับสมัยที่พม่าเรืองอำนาจ และมีการรุกรานดินแดนต่าง ๆ เพื่อขยายอำนาจ สมเด็จพระมหาจักรพรรดิและพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช จึงตกลงรวมกำลัง เพื่อต่อสู้กับพม่า จึงทรงกระทำสัตยาธิษฐานว่าจะไม่ล่วงล้ำดินแดนของกันและกัน และเพื่อเป็นที่ระลึกในการทำไมตรีต่อกัน จึงได้ร่วมกันสร้างพระธาตุศรีสองรักเพื่อเป็นสักขีพยาน ณ กึ่งกลางระหว่างแม่น้ำน่านและแม่น้ำโขง ซึ่งเป็นรอยต่อของทั้งสองราชอาณาจักร นอกจากนี้ภายในวัดยังมีพระพุทธรูปปางนาคปรก ศิลปะทิเบตหัวนาคปรกสร้างด้วยศิลา องค์พระพุทธรูปสร้างด้วยทองสัมริด มีหน้าตักกว้าง 21 นิ้ว สูง 30 นิ้ว ทุกวันขึ้น 15 เดือน 6 ชาวอำเภอด่านซ้าย หรือ"ลูกผึ้งลูกเทียน" จะร่วมกันจัดงานสมโภชพระธาตุขึ้น โดยจะนำต้นผึ้ง มาถวายพระธาตุถือเป็นประเพณีอันศักดิ์สิทธิ์ที่เกิดขึ้นประจำทุกปี พระธาตุสร้างขึ้นเพื่อสัจจะและไมตรี
พระธาตุศรีสองรัก อำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย สร้างเมื่อ พ.ศ.2103 แล้วเสร็จเมื่อ พ.ศ. 2106 ในสมัยแผ่นดินสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ์แห่งกรุงศรีอยุธยาเพื่อเป็นสักขีพยานแสดงความสัมพันธ์อันดีงามระหว่างกัน กับพระเจ้าไชยเชษฐาธิราชแห่งกรุงศรีสัตนาคนหุต (เวียงจันทร์)ประวัติความเป็นมาของพระธาตุศรีสองรักพระธาตุศรีสองรัก เป็นเจดีย์ที่ก่อด้วยอิฐถือปูนมีฐานเป็นเหลี่ยมจัตุรัส ขนาดกว้างด้านละประมาณ 8 เมตร สูงประมาณ 32 เมตร อยู่ห่างจากที่ตั้งจังหวัดเลยไปทางทิศตะวันตกประมาณ 1กิโลเมตรและอยู่ห่างจากที่ตั้งจังหวัดเลยไปทางทิศตะวันตก ประมาณ 83 กิโลเมตร องค์พระเจดีย์ตั้งอยู่ในวัดพระธาตุศรีสองรักบนเนินริมน้ำหมัน ซึ่งเป็นวัดที่ไม่มีพระภิกษุพำนักอยู่ในวัดนอกจากองค์พระเจดีย์แล้ว ถัดไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือมีโบสถ์ 1 หลัง ภายในโบสถ์มีพระพุทธรูปนาคปรก 1 องค์ และพระพุทธรูปอื่น ๆ อีกบ้าง และถัดองค์พระเจดีย์ไปทางทิศตะวันตกมีศิลาจารึก 1 แผ่น ซึ่งจารึกตำนานการสร้างพระธาตุศรีสองรักด้วยอักษรธรรมอยู่ด้วย
พระธาตุศรีสองรัก ได้สร้างขึ้นในแผ่นดินของสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ์ผู้ครอบครองกรุงศรีอยุธยาแห่งอาณาจักรสยามสมัยนั้น และพระเจ้าไชยเชษฐาธิราชผู้ครองกรุงศรีสัตนาคนหุต (เวียงจันทร์) แห่งอาราจักรล้านช้างสมัยนั้น เพื่อเป็นสักขีพยานในการทำสัญญาทางพระราชไมตรี และเป็นด่านกั้นเขตแดนของสองพระนครใสสมัยโน้น ทั้งนี้เนื่องจากในระหว่างที่กษัตริย์ทั้งสองพระองค์ครองราชสมบัติ ตรงกับสมัยที่พม่าเรืองอำนาจ เพราะพม่ามีกษัตริย์ที่เข้มแข็งในการสงครามปกครองคือ พระเจ้าตะเบ็งชเวตี้ และพระบุเรงนองได้ยกทัพมารุกรานกรุงศรีอยุธยาและกรุงศรีสัตนาคนหุตหลายคราว สมเด็จพระมหาจักรพรรดิกับพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช จึงทำไมตรีกัน เพื่อร่วมกันต่อสู้กับพม่าและเพื่อเป็นที่ระลึกในการทำไมตรีกันครั้งนี้ ได้ทรงร่วมกันสร้างพระเจดีย์ขึ้นเป็นสักขีพยานจึงได้ขึ้นชื่อว่า “ พระธาตุศรีสองรัก ” ตามตำนานกล่าวไว้ว่าได้สร้างขึ้น ณ ที่กึ่งกลางระหว่างแม่น้ำโขงกับแม่น้ำน่านบนโคกไม้ติดกัน เริ่มสร้างแต่ พ.ศ. 2103 ตรงกับปีวอก โทศก จุลศักราช 922 และเสร็จเมื่อ พ.ศ. 2106 ตรงกับปีกุล เบญจศก จุลศักราช 925 ในวันพุธขึ้น 14 ค่ำ เดือน 6 และได้ทำพิธีฉลองสมโภชในวันพฤหัสบดี ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6การสร้างพระธาตุศรีสองรัก นับเป็นสักขีพยานในความรักใคร่ของชนชาติเผ่าลาวในดินแดนล้านช้างสมัยนั้น มาตั้งแต่โบราณการเป็นอย่างดี และพระธาตุศรีสองรักนี้ ประชาชนในท้องที่จังหวัดเลยและจังหวัดใกล้เคียงให้ความเคารพนับถือ เป็นปูชนียสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ในวันเพ็ญเดือน 6 จะการทำพิธีสมโภชและนมัสการพรเจดีย์ขึ้นทุกปีจนถือเป็นประเพณีตลอดมาจนทุกวันนี้ พระธาตุศรีสองรัก นับแต่สร้างมาจนถึงปัจจุบันนี้นับได้ 400 ปีเศษ นอกจากเป็นปูชนียสถานสำคัญของอำเภอด่านซ้าย ยังเป็นปูชนียสถานที่สำคัญที่สุดของจังหวัดเลย
บริเวณหน้าองค์พระธาตุศรีสองรัก จะมีพระอุโบสถ หรือวิหาร ชาวบ้านเรียกกันว่า สิม สร้างอยู่ติดกับองค์พระธาตุ เป็นอาคารชั้นเดียว ขนาดไม่ใหญ่โตมากนัก ภายในวิหารแห่งนี้ จะมีพระพุทธรูปเป็นพระนาคปรก มีหัวของพญานาคอยู่ 7 หัว ข้างซ้ายและขวาข้างละ 3 หัว ตะรางกลางหัว 1 หัว หน้าตกกว้างประมาณ 1 เมตร สูงประมาณ 1.50 เมตร อยู่องค์หนึ่ง ตั้งอยู่ในวิหารแห่งนี้ เป็นพระพุทธรูปที่สำคัญคู่กับพระธาตุศรีสองรัก มาโดยตลอด อายุก็ประมาน 400 กว่าปี สร้างหลังจากสร้างพระธาตุเสร็จไม่นาน
เกี่ยวกับองค์พระธาตุศรีสองรัก กล่าวถึงความเป็นมาของพระนาคปรกองค์นี้ว่า เป็นพระพุทธรูปที่สำคัญและศักดิ์สิทธิ์องค์หนึ่ง ของอำเภอด่านซ้าย สร้างขึ้นมาหลังจากที่สร้างพระธาตุศรีสองรักไม่นาน เนื่องจากพิธีกรรมในการสมโภชน์และนมัสการพระธาตุศรีสองรักนั้น จะเกี่ยวตรงที่ว่า หลังจากทำพิธีต่าง ๆขององค์พระธาตุแล้ว ก็จะมีพิธีบวชนาค และจุดบั้งไฟ ซึ่งจะมีผู้ที่จะบวชปีหนึ่ง ๆ หลายรูป มีการกล่าวล่าขานสืบต่อกันมาว่า ใครที่ได้บวชที่วัดพระธาตุศรีสองรักแล้ว จะมีอานิสงส์แรงมาก ดังนั้นจึงมีการสร้างพระประธานขึ้นมา คือพระนาคปรกองค์
การบวชก็เป็นวิธีกรรมหนึ่งในงานนมัสการพระธาตุ โดยจะมาบวชที่วิหาร หรือสิม ที่ติดกับองค์พระธาตุนี้ โดยมีพระนาคปกเป็นพระประธานในการทำพิธี เมื่อบวชแล้ว ผู้ที่บวชก็จะแยกย้ายกันไปจำพรรษาอยู่ตามวัดต่าง ๆ ในอำเภอด่านซ้าย โดยเฉพาะที่วัด โพนชัย บ้านเดิน เทศบาลตำบลด่านซ้าย ดังนั้นพระนาคปรกองค์นี้จึงเป็นพระประธานที่อยู่คู่กับพระธาตุศรีสองมาตลอด คนที่มากราบนมัสการพระธาตุศรีสองรักก็จะกราบไว้พระนาคปรกก่อนไปไหว้พระธาตุ ถือว่าเป็นศิริมงคลแก่ตนเอง
ทั้งนี้นักท่องเที่ยวที่เดินทางไปสักการะองค์พระธาตุศรีสองรัก อาจจะต้องแปลกใจ เพราะว่า คนที่จะเข้าไปสักการะองค์พระธาตุได้ จะต้องห้ามใส่เสื้อผ้า ‘สีแดง’ หรือถือสิ่งของที่มีสีแดงเข้าไปบริเวณองค์พระธาตุ ด้วยเหตุผลที่ว่า.
‘พระธาตุศรีสองรัก’ เป็นพระธาตุที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นสักขีพยานในความรักใคร่ระหว่างประเทศไทย และประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว มาตั้งแต่สมัยโบราณ ทั้งนี้ ‘สีแดง’ อาจเปรียบได้กับ ‘เลือด’ ที่เป็นผลของการทำสงคราม ดังนั้น คนโบราณจึงมีการห้ามไม่ให้ผู้ที่สวมเสื้อผ้าสีแดง เข้าไปบริเวณองค์พระธาตุ จนเป็นธรรมเนียมปฏิบัติสืบมาจนถึงปัจจุบันด้วยเช่นกัน
การเดินทางสู่ พระธาตุศรีสองรัก
จากตัวเมืองไปตามทางหลวงหมายเลข 203 เส้นเลย-ภูเรือ แล้วแยกเข้าทางหลวงหมายเลข 2013 อีก 15 กิโลเมตร ถึงอำเภอด่านซ้ายจากนั้นแยกขวาเข้าเส้นทาง 2113 อีก 1 กิโลเมตร
ที่มา http://www.tinyzone.tv/
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น